วันที่ 2 ต.ค.67 เวลา 14.30 น. ที่ตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รรท.ผบ.ตร.) ประธานแถลงความคืบหน้าคดีอุบัติเหตุเพลิงไหม้รถบัสรับส่งนักเรียนทัศนศึกษา ณ ห้องประชุมอมรวิวัฒน์ ตำรวจภูธรภาค 1
โดยมี พล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สพฐ.ตร., พล.ต.ต.ศิลปคมณ์ เอี่ยมวงศ์ รอง ผบช.ภ.1 รรท.ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.นราเดช ทิพย์รักษ์ รอง ผบช.ภ.1 , พล.ต.ต.ยุทธนา จอนขุน ผบก.ภ.จว.ปทุมธานี , พล.ต.ต.วาที อัศวุตมางกุร ผบก.พฐก. , พล.ต.ต.สุพิไชย ลิ่มศิวะวงศ์ ผบก.นต.รพ.ตร. และ นายเสกสม อัครพันธุ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ร่วมแถลง โดยก่อนการแถลงข่าว รรท.ผบ.ตร. ได้เรียนเชิญทุกท่านร่วมยืนไว้อาลัยให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น
สืบเนื่องจากเหตุผู้ขับขี่หลบหนี จากกรณีวันที่ 1 ต.ค.67 เวลาประมาณ 12.00 น. เกิดเหตุเพลิงไหม้รถบัสทัศนศึกษานักเรียน บนถนนวิภาวดีรังสิต หน้าอนุสรณ์สถาน จ.ปทุมธานี จนมีเด็กนักเรียนและครูเสียชีวิต 23 ราย (เป็นเด็กนักเรียน 20 ศพ ครู 3 ศพ) และบาดเจ็บสาหัส 3 ราย และนักเรียน ครูผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้ง ศปก.ส่วนหน้า ที่บริเวณศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริและความมั่นคง ในการบริหารเหตุการณ์ฉุกเฉิน ควบคุม สั่งการ และประสานการปฏิบัติกับหน่วย เพื่อช่วยเหลือและดำเนินการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และได้สั่งการให้ทุกส่วนร่วมบูรณาการอย่างใกล้ชิด
สถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ ได้ร่วมกับสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ (สพฐ.ตร.) ตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์บุคคลทั้ง 23 ราย เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างออกรายงานรับรองการเสียชีวิต และใบมรณะบัตร โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้อำนวยความสะดวกโดยจัดรถตำรวจทางหลวง และตำรวจท่องเที่ยว นำขบวนและอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทาง พร้อมส่งกลับภูมิลำเนาที่ จ.อุทัยธานี และจัดการดูแลอำนวยความสะดวกให้บริการ พร้อมดูแลสภาพจิตใจของครอบครัวและผู้ใกล้ชิดของผู้ประสบเหตุอย่างเต็มที่
สำหรับผู้ขับขี่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการให้ ภ.จว.ปทุมธานี และ บก.สส.ภ.1 เร่งรัด กดดัน ติดตามจับกุมตัวผู้ขับขี่ ในวันที่ 1 ต.ค.67 เวลา 19.30 น. จึงได้จับกุมตัวผู้ขับขี่รถคันดังกล่าวได้ แล้วนำตัวมาสอบสวนยัง สภ.คูคต แจ้งข้อกล่าวหา “ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว อันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และขับรถในทางก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคล แล้วไม่หยุดรถให้การช่วยเหลือ ไม่แสดงตัวและไม่แจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน เป็นเหตุให้บุคคลอื่นถึงแก่ความตาย” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43(4), 78, 157, 160 วรรคสอง ในเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ และพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวไว้ที่ สภ.คูคต เตรียมที่จะนำตัวไปฝากขัง โดยทางคดีพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานในทุกมิติ สอบพยานที่เกี่ยวข้องแล้วหลายปาก, วัตถุพยานในที่เกิดเหตุ , ภาพบันทึกกล้องวงจรปิด โดยเฉพาะผลตรวจพิสูจน์สภาพรถคันเกิดเหตุทางนิติวิทยาศาสตร์ประกอบตามกฎหมายต่อไป
ทางรถบัสคันเกิดเหตุ สพฐ.ตร. ได้ร่วมกับกรมการขนส่งทางบก ตรวจสภาพและรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาสาเหตุที่เกิดไฟลุกไหม้ขึ้น ในเบื้องต้นพบว่ารถบัสคันดังกล่าวมีถังแก๊สเชื้อเพลิง 11 ถัง พบเบื้องต้นจดทะเบียนถูกต้องเพียง 6 ถัง ส่วนที่เหลือ 5 ถัง ไม่อยู่ในรายการจดแจ้งกับเจ้าหน้าที่ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ จะต้องตรวจสอบอย่างละเอียดทางนิติวิทยาศาสตร์ต่อไป หากพบว่ามีบุคคลหรือบริษัทใดเกี่ยวข้อง หรือมีส่วนในการกระทำความผิด สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินคดีอย่างถึงที่สุด
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของผู้เสียชีวิต ผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้ และขอความกรุณางดเผยแพร่ภาพ แชร์ภาพ แชร์คลิป ผู้เสียชีวิตจากเหตุดังกล่าว
แหล่งข่าวรายงานบรรยากาศแถลงข่าว มีสื่อมวลชนร่วมทำข่าว เกือบ 100 ท่าน บางท่านรู้สึกเศร้า สลดหดหูใจ บางท่านแทบกลั้นน้ำตาไม่ไหวต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งใหญ่นี้ สื่อมวลชนหลายสำนักข่าว ได้ซักถามเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ที่ร่วมกันแถลงข่าว โดยซักถามอย่างตรงประเด็น ตรงไปตรงมา ตรงใจประชาชน เจาะลึก ข้อข้องใจเคลือบแคลงสงสัย ประมาณ 1 ชม. แต่ฟังดูแล้วไม่ค่อยเคลีย แต่ต้องขอชมเชย “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร. สามารถตอบข้อซักถาม ข้อสงสัยของสื่อมวลชนได้ดีตามหลักการ เพราะต้องรอพยานหลักฐานจากการพิสูจน์หลักฐาน ถือว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจตอบผ่าน ส่วนเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ดูมองหน้ากันไปมา ไม่ค่อยมั่นใจ หรือเตรียมข้อมูลมาไม่พร้อมตอบรึไม่อย่างไร ว่ารถบัสคันเกิดเหตุ จดทะเบียนติดตั้งถังแก๊สเชื้อเพลิงถูกต้องเพียง 6 ถัง แต่พบติดตั้งถังแก๊ส รวม 11 ถัง อีก 5 ถัง ไม่ได้จดแจ้ง ข้อสงสัยติดตั้งเกินมาได้อย่างไร รถบัสคันนี้มีอายุการใช้งานมาประมาณ 54 ปีแล้ว รวมถึงผู้ประกอบการเจ้าของรถบัสทำผิดกฏหมายรึไม่ สื่อหลายท่านรู้สึกแปลกๆ เคลือบแคลงสงสัย กรณีได้พบข้อมูลว่ามีการแก้ไขเอกสารหลักฐานหลายรายการ และสื่อได้ซักถามรุกหนักขึ้นอย่างเจาะลึกหลายประเด็น แต่ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร. สามารถตอบแทนเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้เป็นอย่างดี “บิ๊กต่าย” ลั่น หากตรวจสอบใครกระทำผิดจะดำเนินการตามกฏหมาย ส่วนผู้ขับขี่จะประมาทหรือเป็นอุบัติเหตุ ขึ้นอยู่กับการสอบสวนและพยานหลักฐาน รวมถึงสอบสวนความผิดของผู้ประกอบการเจ้าของรถบัส และบริษัทผู้รับติดตั้งถังแก๊ส
ส่วนในสายตาประชาชนทั่วไป ได้ให้ความสนใจอย่างมาก วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง ควรต้องตั้งกรรมการสอบสวนเจ้าหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และกรมการขนส่งทางบก ควรต้องเร่งดำเนินการยกเครื่องทั้งระบบอย่างเร่งด่วน โดยไม่ชักช้า หามาตรการควบคุม วิธีแก้ไข การตรวจสภาพรถอย่างเคร่งครัดจริงจัง ดูแลควบคุมตรวจสอบผู้ขับขี่ ความพร้อม ฝึกอบรมให้ความรู้ มีช่างประจำอู่ของผู้ประกอบการหรือจากเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบกเข้าตรวจสอบสภาพรถก่อนออกรับจ้างสาธารณะทุกครั้ง (เหมือนรถตู้โดยสารสาธารณะ หรือเครื่องบินก่อนจะขึ้นบิน) และควรดำเนินการกับเจ้าหน้าที่ที่ปล่อยปะละเลย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หรือทุจริตประพฤติมิชอบ ให้สิ้นซาก รึไม่อย่างไร หากมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร ตามที่สื่อซักถาม ใครเป็นคนทำ ทำก่อนหรือหลังเกิดเหตุ มีส่วนได้เสียแค่ไหน ทำเป็นขบวนการหรือไม่อย่างไร ตรวจสอบทรัพย์สินผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องทุกคน ว่าร่ำรวยผิดปกติแค่ไหน และต้องดำเนินคดีตามกฎหมาย กรณีแบบนี้ หากเป็น “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ยังอยู่ในตำแหน่ง ถูกสอบสวนเจาะลึกค้นหาความจริงและต้องถูกดำเนินคดีตามกฏหมายโดยเร็วอย่างแน่นอน
กรณีนี้เป็นปัญหาร้ายแรงต่อสังคม กระทบต่อความรู้สึกที่สะเทือนจิตใจ และประชาชนทั่วไปติดตามให้ความสนใจอย่างมาก ที่ทำให้เกิดการสูญเสียชีวิตของเด็กนักเรียนและมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก และขอเรียกร้องให้นักกฎหมาย ทนายความ/อัยการชื่อดัง สื่อมวลชน สื่อออนไลน์ รายการข่าวชื่อดังที่ประชาชนชื่นชอบ (เชิญเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องมาออกรายการแสดงความคิดเห็น ข้อเสนอแนะ ข้อบกพร่อง ข้อผิดพลาด การระวังป้องกัน วิธีตรวจสอบตรวจสอบสภาพรถ และชี้แนะวิธีแก้ไขที่ถูกต้อง เป็นกรณีศึกษา เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน) บุคคล/นักร้องที่ชอบช่วยเหลือประชาชน และเพจข่าวเพื่อประชาชนชื่อดัง ควรเร่งรัดช่วยกันตรวจสอบ ร้องเรียนไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ป.ป.ท., ป.ป.ช., บก.ป.ป.ป.) ว่ามีอำนาจตรวจสอบได้แค่ไหน รึไม่อย่างไร และให้มีการตรวจสอบอย่างจริงจัง หากพบการกระทำความผิดของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ต้องดำเนินการตามกฎหมาย รวมถึงรัฐบาล ‘แพทองธาร’ นายกรัฐมนตรี นักการเมือง คณะรัฐมนตรี หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และฝ่ายค้านช่วยประชาชนโดยนำเรื่องเข้าสภาผู้แทนราษฎรเพื่อหามาตรการ ควบคุม ดูแล หาทางป้องกันแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อให้ความรู้แก่ประชาชน เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ต่อสังคม และสังคมจะได้ดีขึ้น อย่าปล่อยให้เรื่องเงียบหายไปเฉยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่จะสูญเสียชีวิตจำนวนมากแบบนี้เกิดขึ้นมาอีก
ต้องขอฝาก “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร. ที่ได้กล่าวว่า หากพบการกระทำความผิดถึงใคร จะดำเนินการตามกฏหมาย
ขอเรียกร้องให้ “บิ๊กต่าย” พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ รรท.ผบ.ตร. เร่งรัดดำเนินการตรวจสอบ สอบสวนด้วยความรวดเร็วจริงจัง โดยไม่ชักช้า และดำเนินการตามกฎหมาย หากพบเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดกฏหมาย โดยไม่ช่วยเหลือกันหรือเกรงใจกัน จะได้สมศักดิ์ศรีผู้รักษากฎหมาย เหมาะสมที่จะได้เป็น ผบ.ตร. ตัวจริงคนต่อไป ประชาชนจะได้ยกย่องสรรเสริญให้เป็นตำรวจขวัญใจประชาชน งานนี้เป็นงานแรกชิ้นโบว์แดงของท่านที่จะต้องแสดงฝีมือให้ประชาชนเห็นชัด
อย่าให้อาย “บิ๊กโจ๊ก” พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล อดีตรอง ผบ.ตร. ขวัญใจประชาชน นะครับท่าน
ด้วยความเคารพเจ้าหน้าที่ผู้ร่วมแถลงข่าวทุกท่าน ข้อเสนอแนะข้อคิดเห็นนี้ด้วยความสุจริตใจ มิได้มีเจตนาจับผิดท่านใดหรือหน่วยงานใด แต่เพื่อให้เกิดการพัฒนา หาทางป้องกันแก้ไขให้ดีขึ้น เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ ต่อส่วนรวม ต่อสังคม และเพื่อลดการสูญเสียชีวิต ให้เกิดความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
กรณีตัวอย่าง เมื่อ 34 ปีมาแล้ว วันที่ 24 ก.ย. 2533 รถบรรทุกแก๊ส 2 ตัน ขับลงทางด่วนที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แล้วคว่ำ สลัดถังบรรจุแก๊สหลุดจากตัวรถครูดไปกับถนน ทำให้เกิดความร้อน แก๊สระเบิดเป็นทะเลเพลิงทันที เผารถยนต์วอด 67 คัน บ้าน 51 หลัง เสียชีวิต 92 ศพ บาดเจ็บ 36 ราย ศาลสั่งจำคุก กรรมการผู้จัดการบริษัทรถบรรทุกแก๊ส ที่มักง่ายนำถังบรรจุแก๊สแบบที่ใช้ติดตั้งบนพื้นดิน มาติดตั้งกับรถบรรทุกโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและผ่านการตรวจสอบ และทดสอบจากกรมโยธาธิการ อีกทั้งเจ้าของกิจการไม่ได้ติดตั้งระบบลิ้นควบคุมการไหลหรือวาล์วนิรภัยไว้ที่ถังบรรจุแก๊ส จึงเป็นการกระทำที่ประมาท ศาลชั้นต้นสั่งจำคุกจำเลย 5 ปี แต่ศาลฎีกาจำคุก 2 ปี รอการลงอาญา 3 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
ส่วนคดีปัจจุบัน รถบัสทัศนศึกษาใช้แก๊สเป็นเชื้อเพลิง ไฟไหม้วอด เด็กนักเรียนเสียชีวิต 20 ศพ ครู 3 ศพ และบาดเจ็บจำนวนมาก เจ้าของผู้ประกอบการรถบัส จะรอดหรือไม่ ประมาทหรือไม่…อย่าลืม จนท.ขนส่งทางบก จะมีความผิดด้วยหรือไม่ หรือไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ในการอนุญาตติดตั้งถังแก๊ส รวม 11 ถัง แต่จดแจ้งเพียง 6 ถัง ขออนุญาตตามกฎระเบียบหรือไม่ และอีก 5 ถัง มาได้อย่างไร ใครรับผิดชอบ…อาสากู้ภัยแจ้งว่า มีติดตั้งถังแก๊สชั้นล่างในห้องโดยสารด้วย หากตำรวจทำตรงไปตรงมาจริงจัง ติดคุกแน่
ทีมข่าวอาชญากรรม